เมนู

[1317] นกทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ดักมาแล้ว การ
ตวงข้าวเปลือกด้วยเครื่องตวง บุรุษนี้ก็ได้ตวง
มาแล้ว การเล่นสกา บุรุษนี้ก็ได้ตั้งให้นักเลง
สกาเล่นกัน ความสำรวมระวัง บุรุษนี้ก็ก้าว
ล่วงเสีย เลือดที่ไหลออกมาตั้งครึ่งคืน บุรุษนี้
ก็คัดให้หยุดได้ มือทั้งสองของบุรุษนี้มีความ
ร้อนในเวลารับก้อนข้าว.
[1318] เราได้ฟังเหตุทั้งหลาย อันเกี่ยวเนื่องด้วย
การกระทำของบุรุษนี้ ในการดำรงชีพของบุรุษ
นี้ ดังนี้ กลุ่มขนนกกระทายังปรากฏอยู่ที่ชฎา
ของบุรุษนี้ วัวทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ฆ่ากินแล้ว
ไฉนจะไม่ฆ่านกกระทากินเล่า.

จบ ทัททรชาดกที่ 12

อรรถกถาติตติรชาดกที่ 12



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ทรงปรารภ การที่
พระเทวทัตพยายามจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่ม
ต้นว่า โย เต ปุตฺตเก ดังนี้.

ความย่อมีว่า สมัยนั้นภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตไม่มีความละอาย ไม่ใช่คนดี คบกับ
พระเจ้าอชาตศัตรู ทำอุบายเพื่อปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรง
พระคุณสูงสุด โดยวิธีประกอบนายขมังธนู กลิ้งก้อนศิลา และปล่อย
ช้างนาฬาคิรี พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรง
ทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่
พระเทวทัตพยายามฆ่าเรา แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็ได้พยายาม
ฆ่าเราเหมือนกัน ดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไป
นี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระ-
นครพาราณสี อาจารย์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่ง สอนศิลปะแก่มาณพ
ห้าร้อยคนในพระนครพาราณสี วันหนึ่งคิดว่า เราอยู่ในที่นี้มีความ
กังวล แม้มาณพทั้งหลายก็จะไม่สำเร็จการศึกษา เราจะเข้าป่าเขตถิ่น
หิมพานต์ อยู่ในที่นั้น บอกศิลปะ. อาจารย์ทิศาปาโมกข์นั้น บอกแก่
พวกมาณพ แล้วให้ขนงา ข้าวสาร น้ำมัน และผ้าเป็นต้น เข้าป่า
ให้สร้างบรรณศาลาอยู่ในที่ไม่ไกลจากหนทาง แม้พวกมาณพก็สร้าง
บรรณศาลาของตน ๆ พวกญาติของมาณพทั้งหลายต่างก็ส่งน้ำมันและ
ข้าวสารเป็นต้น แม้ชาวแว่นแคว้นก็พูดว่า ได้ยินว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์

อยู่ในป่าแห่งโน้น ให้มาณพเรียนศิลปะ ดังนี้ ต่างก็นำข้าวสารเป็นต้น
ไปให้ แม้ผู้ที่เดินทางกันดารก็นำไปให้ บุรุษคนหนึ่ง ได้ให้แม่โคนม
พร้อมด้วยลูกโค เพื่อประโยชน์ที่อาจารย์ทิศาปาโมกข์จะได้ดื่มน้ำมัน
ณ ที่ใกล้บรรณศาลาของอาจารย์ มีเหี้ยตัวหนึ่งอยู่กับลูกอ่อนสองตัว
แม้ราชสีห์และเสือโคร่ง ก็มาสู่ที่บำรุงอาจารย์นั้น นกกระทาตัวหนึ่ง
ได้มาอยู่ ณ ที่นั้นเป็นประจำ นกกระทาตัวนั้นได้ยินเสียงอาจารย์กำลัง
บอกมนต์แก่มาณพทั้งหลาย จึงเรียนเวทย์ได้ทั้งสาม มาณพทั้งหลาย
ก็ได้คุ้นเคยกับนกกระทานั้น
ต่อมา เมื่อมาณพทั้งหลายยังไม่ทันสำเร็จการศึกษา อาจารย์ได้
ทำกาละเสียแล้ว พวกมาณพช่วยกันเผาศพอาจารย์แล้ว ก่อพระสถูป
ด้วยทราย เอาดอกไม้ต่าง ๆ มาบูชาแล้ว ร้องไห้คร่ำครวญอยู่. ลำดับนั้น
นกกระทาถามมาณพเหล่านั้นว่า พวกท่านร้องไห้ทำไม พวกมาณพ
กล่าวว่า พวกเรายังไม่สำเร็จการศึกษา อาจารย์ก็มาตายเสีย ฉะนั้น
พวกเราจึงร้องไห้ นกกระทากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านอย่าเสียใจเลย
เราจะบอกศิลปะแก่พวกท่าน มาณพทั้งหลายถามว่า ท่านรู้ได้อย่างไร
นกกระทำตอบว่า เมื่ออาจารย์กำลังบอกแก่พวกท่าน เราได้ฟังแล้ว
ได้ทำไตรเพทให้คล่องแคล่ว มาณพทั้งหลายกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่าน
จงให้พวกเรารู้ความที่ตนเป็นผู้คล่องแคล่วเถิด นกกระทากล่าวว่า ถ้า
เช่นนั้น พวกท่านคอยฟัง แล้วได้สวดไตรเพทที่มาณพเหล่านั้นฟั่นเฝือ

ประดุจจะบินถลามาจากยอดภูเขาลงสู่แม่น้ำฉะนั้น มาณพทั้งหลายต่างก็
ร่าเริงยินดี เริ่มเรียนศิลปะในสำนักนกกระทำผู้เป็นบัณฑิต แม้นก-
กระทาก็ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งอาจารย์ทิศาปาโมกข์ บอกศิลปะแก่
มาณพเหล่านั้น พวกมาณพได้กระทำกรงทองแก่นกกระทา ดาษ
เพดานเบื้องบน นำน้ำผึ้งและข้าวตอกเป็นต้น ใส่จานทองให้นกกระทา
บูชาด้วยดอกไม้นานาชนิด กระทำสักการะเป็นการใหญ่ ข่าวนกกระทา
บอกมนต์แก่มาณพห้าร้อยในป่า ได้แพร่สะพัดไปทั่วชมพูทวีป.
ครั้งนั้น ประชาชนในชมพูทวีปได้ป่าวร้องกันเล่นมหรสพเป็น
การใหญ่ เหมือนมหรสพที่เล่นบนยอดภูเขา มารดาบิดาของมาณพ
ทั้งหลายได้ฟังข่าวไปถึงบุตรว่า จงมาดูงานมหรสพ มาณพทั้งหลาย
บอกลานกกระทาแล้ว ช่วยกันปิดบังนกกระทาผู้เป็นบัณทิต เหี้ย และ
สัตว์ทั้งหมดตลอดจนอาศรมไม่ให้ใครรู้เห็น แล้วไปสู่เมืองของตน ๆ
ในกาลนั้นดาบสชั่วร้ายไม่มีความกรุณาคนหนึ่ง ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ
มาถึงที่นั้น เหี้ยเห็นดาบสนั้นก็กระทำการต้อนรับ กล่าวว่า ข้าวสาร
มีอยู่ที่โน้น น้ำมันเป็นต้นอยู่ที่โน้น ท่านจงหุงภัตรฉันเถิด ดังนี้แล้ว
ก็ไปเพื่อหาอาหาร ดาบสหุงภัตรแต่เช้าทีเดียว ฆ่าลูกเหี้ยสองตัวทำเป็น
กับข้าวบริโภค ตอนกลางวันฆ่านกกระทาผู้เป็นบัณฑิตและลูกโคกิน
ตอนเย็นเห็นแม่โคเดินมาก็ฆ่าแม่โคนั้นเสีย กินเนื้อแล้วไปนอนหลับ
กรนอยู่ที่โคนต้นไม้ เหี้ยมาในเวลาเย็นไม่เห็นลูกน้อยทั้งสอง ก็เที่ยว

วิ่งหาอยู่ รุกขเทวดาแลดูเหี้ยผู้ไม่พบลูกน้อย มีกายหวั่นไหวอยู่ จึง
แสดงกายให้ปรากฏที่โพรงไม้ ด้วยทิพยานุภาพ แล้วกล่าวว่า แน่ะเหี้ย
เจ้าอย่าหวั่นไหวไปเลย ลูกน้อยของเจ้า นกกระทา ลูกโค และแม่โค
ถูกคนชั่วนี้ฆ่าแล้ว เจ้าจงกัดคอมันให้ตาย ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ 1
ว่า :-
ผู้ใด เจ้าให้ข้าวมันหุงกิน มันเลยกิน
ลูกทั้งสองของเจ้าผู้ไม่มีความผิด เจ้าจงวาง
เขี้ยวลงบนผู้นั้น อย่าปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อ
ไปเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทินฺนภตฺโต คือผู้ที่เจ้าให้ภัตร
ด้วยกล่าวว่า ท่านจงหุงภัตรฉันเถิด ดังนี้. บทว่า อทูสเก ได้แก่
ผู้ไม่มีโทษ คือปราศจากความผิด. บทว่า ตสฺมึ ทาเฐ อธิบายว่า
เจ้าจงวางเขี้ยวทั้งสี่ลงบนคนชั่ว. บทว่า มา เต มุญฺจิตฺถ ชีวเต
ความว่า ท่านอย่าปล่อยคนใจชั่วนั้นพ้นไปจากเงื้อมมือให้มันเป็นอยู่ คือ
ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปเลย อธิบายว่า มันจงอย่าได้พ้น ท่านจงให้มันถึง
ความสิ้นชีวิตไปเสีย.
ลำดับนั้น เหี้ยได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
บุรุษผู้เกลือกกลั้วด้วยความหยาบ ผู้

ลบหลู่ท่อนผ้าที่ตนนุ่งอยู่ เราไม่ขอเห็นมันเลย
เราจะพึงให้เขี้ยวตกไปในบุรุษไรเล่า ?
อันคนอกตัญญู มักคอยหาโอกาสอยู่
เป็นนิตย์ ถึงจะให้สมบัติทั้งแผ่นดิน ก็ไม่พึง
ทำให้มันชื่นชมยินดีได้เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อากิณฺณลุทฺโธ ได้แก่ ผู้มีความ
หยาบช้าร้ายแรง. บทว่า วิวรทสฺสิโน ได้แก่ ผู้แสวงหาช่อง คือ
โทษ. ด้วยบทว่า เนว นํ อภิราธเย เหี้ยแสดงไว้ว่า ถึงจะให้สมบัติ
ทั้งแผ่นดินก็ไม่สามารถจะให้บุคคลเห็นปานนี้ยินดีได้เลย จะป่วยกล่าว
ไปใยถึงเราที่ให้เพียงภัตตาหาร.
เหี้ยกล่าวอย่างนี้แล้ว คิดว่า บุรุษนี้ตื่นขึ้นคงกินเรา เมื่อจะ
รักษาชีวิตของตน จึงได้หนีไป แม้ราชสีห์และเสือโคร่งก็เป็นเพื่อน
ของนกกระทา บางครั้งสัตว์เหล่านั้นก็พากัน มาเยี่ยมนกกระทา บางครั้ง
นกกระทานั้นก็ไปแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งสองแล้วกลับมา ก็ในวันนั้น
ราชสีห์กล่าวกะเสือโคร่งว่า แน่ะเพื่อน เราไม่ได้ไปเยี่ยมนกกระทา
นาน ถึงวันนี้ก็เจ็ดแปดวันแล้ว ท่านจงไปฟังข่าวของนกระทานั้นก่อน
แล้วจงมา เสือโคร่งรับคำว่า ดีแล้ว ไปถึงที่นั้นในเวลาที่เหี้ยหนีไป
แล้ว เห็นบุรุษชั่วนั้นหลับอยู่ ขนของนกกระทาผู้เป็นบัณฑิตยังติดอยู่

ในระหว่างชฎาของบุรุษนั้น กระดูกแม่โคและลูกโคก็ยังปรากฏอยู่
พระยาเสือโคร่งเห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมด ไม่เห็นนกกระทาบัณฑิตใน
กรงทอง คิดว่า บุรุษชั่วนี้คงฆ่าสัตว์เหล่านั้น จงได้ถีบบุรุษชั่วนั้นให้
ลุกขึ้น ดาบสชั่วเห็นดังนั้นแล้ว มีความสะดุ้งกลัวเป็นอย่างยิ่ง ลำดับนั้น
เสือโคร่งถามดาบสชั่วนั้นว่า ท่านฆ่าสัตว์เหล่านี้กินหรือ ? เมื่อได้รับ
คำตอบว่า เราไม่ได้ฆ่า เราไม่ได้เคี้ยวกิน ดังนี้ จึงกล่าวว่า แน่ะ
คนลามก เมื่อท่านไม่ฆ่า คนอื่นใครเล่าจักฆ่า จงบอกมาเถิด เมื่อไม่
บอก ท่านต้องตาย ดาบสนั้นกลัวมรณภัย จึงกล่าวว่า ถูกแล้วนาย
เราฆ่าลูกเหี้ย ลูกโคและแม่โคกินแล้ว แต่ไม่ได้ฆ่านกกระทา ถึงดาบส
นั้นจะพูดอยู่มากมาย เสือโคร่งก็ไม่เชื่อ จึงถามว่า ท่านมาแต่ไหน ?
เมื่อดาบสนั้นบอกกรรมที่ตนทำทั้งหมดว่า ข้าแต่นาย ฉันนำสินค้าของ
พวกพ่อค้าชาวกลิงครัฐ ไปทำงานอย่างนี้บ้าง อย่างนั้นบ้าง เพื่อเลี้ยง
ชีพ บัดนี้มาถึงที่นี้ ดังนี้ จึงกล่าวว่า คนลามก เมื่อท่านไม่ฆ่านก-
กระทา คนอื่นใครเล่าจักฆ่า มาเถิด เราจักนำท่านไปสู่สำนักของ
ราชสีห์ผู้เป็นพระยาเนื้อ แล้วให้ดาบสนั้นเดินหน้า เดินไปพลางขู่ไป
พลาง.
พระยาราชสีห์เห็นพระยาเสือโคร่งนำดาบสนั้นมา เมื่อจะถาม
พระยาเสือโคร่ง ได้กล่าวคาถาที่ 4 ว่า :-
ดูก่อนเสือโคร่ง ชื่อว่า สุพาหุ เพราะ

เหตุไรหนอ ท่านจงรีบด่วนกลับมาพร้อมกับ
มาณพ กิจที่เป็นประโยชน์ของท่านมีอยู่ในที่นี้
หรือ เราขอถามถึงกิจอันเป็นประโยชน์นั้น ?
ขอท่านจงบอกแก่เรา.

ในคาถานั้น พระยาราชสีห์ทักทายพระยาเสือโคร่ง โดยชื่อว่า
ดูก่อนเสือโคร่ง ชื่อว่า สุพาหุ เพราะกายส่วนข้างหน้าของพระยาเสือ-
โคร่งเป็นที่พอใจ ฉะนั้น พระยาราชสีห์จึงกล่าวอย่างนั้น กะพระยาเสือ-
โครงนั้น. บทว่า กึ กิจฺจมตฺถิ อิธมตฺถิ ตุยฺหํ ความว่า กรณียกิจ
ที่ประกอบด้วยประโยชน์มีอยู่กับมาณพนี้ ในที่นี้หรือ ? ปาฐะว่า ตุยฺหํ
กึ กิจฺจมตฺถํ
เนื้อความก็อย่างนี้เหมือนกัน.
พระยาเสือโคร่งได้ฟังดังนั้น ได้กล่าวคาถาที่ 5 ว่า:-
นกกระทาใด ผู้มีรูปงาม ซึ่งเป็นสหาย
ของท่าน เราสงสัยว่า นกกระทานั้นจะถูกฆ่า
เสียแล้วในวันนี้ เราได้ฟังเหตุทั้งหลายที่ต่อ
เนื่องด้วยการกระทำของบุรุษนี้ จึงมิได้สำคัญ
ว่า นกกระทาจะมีความสุขในวันนี้.

นกกระทำ ชื่อว่า ททฺทโร ในคาถานั้น. บทว่า ตสฺส วธํ
ความว่า เราสงสัยว่า นกกระทาผู้เป็นบัณฑิตนั้นจะถูกบุรุษนี้ฆ่า

ในวันนี้. บทว่า นาหํ สุขึ ความว่า เรามิได้สำคัญว่า นกกระทา
จะมีความสุข คือไม่มีโรค ในวันนี้.
พระยาราชสีห์เมื่อจะถามพระยาเสือโคร่ง ได้กล่าวคาถาที่ 6
ว่า :-
ในการดำรงชีพของบุรุษนี้ ท่านได้ฟัง
เหตุการณ์อะไรที่ต่อเนื่องด้วยการกระทำของ
เขา หรือท่านได้ฟังคำปฏิญาณอะไรของบุรุษนี้ ?
จึงสงสัยว่า นกกระทาถูกมาณพนี้ฆ่าเสียแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสุ เท่ากับ อสฺโสสิ แปลว่า
ได้ฟังแล้ว. บทว่า วุตฺติสโมธานตาย คือในความประพฤติเลี้ยงชีพ
อธิบายว่า บุรุษนี้ ได้บอกการงานอะไรของตนแก่ท่าน. บทว่า มาณเวน
ความว่า ท่านได้ฟังคำปฏิญาณอะไร จึงสงสัยว่า นกกระทาถูกมาณพนี้
ฆ่าเสียแล้ว.
ลำดับนั้น พระยาเสือโคร่ง เมื่อจะกล่าวแก่พระยาราชสีห์ ได้
กล่าวคาถาที่เหลือว่า :-
การค้าขายอันเป็นของชาวกลิงครัฐ บุรุษ
นี้ก็ได้สั่งสมประพฤติมาแล้ว แม้หนทางที่มี
หลังตอควรรังเกียจ บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติเที่ยว

ไปด้วยการรับจ้าง การฟ้อนรำขับร้องกับคน
ฟ้อนทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติมาถึงการรบ
กันด้วยท่อนไม้ในท่ามกลางมหรสพ บุรุษนี้
ก็ได้เคยประพฤติมา.
นกทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ดักมาแล้ว การ
ตวงข้าวเปลือกด้วยเครื่องตวง บุรุษนี้ก็ได้ตวง
มาแล้ว การเล่นสกา บุรุษนี้ก็ได้ตั้งให้นักเลง
สกาเล่นกัน ความสำรวมระวัง บุรุษนี้ก็ก้าว
ล่วงเสีย เลือดที่ไหลออกมาตั้งครึ่งคืน บุรุษนี้
ก็คัดให้หยุดได้ มือทั้งสองของบุรุษนี้มีความ
ร้อนในเวลารับก้อนข้าว.
เราได้ฟังเหตุทั้งหลาย อันเกี่ยวเนื่องด้วย
การกระทำของบุรุษนี้ ในการดำรงชีพของบุรุษ
นี้ ดังนี้ กลุ่มขนนกกระทายังปรากฏอยู่ที่ชฎา
ของบุรุษนี้ วัวทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ฆ่ากินแล้ว
ไฉนจะไม่ฆ่านกกระทากินเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิณฺณา กลิงฺคา ความว่า ได้ยินว่า
แม้การค้าขายในกลิงครัฐ เขาผู้ขนสินค้าของพวกพ่อค้าไปอยู่ ได้สั่งสม

ประพฤติมาแล้ว คือกระทำมาแล้ว. บทว่า เวตฺตาจโร คือพึงเที่ยว
ไปด้วยการรับจ้าง. บทว่า สงฺกุปโถปิ จิณฺโณ คือแม้หนทางที่มี
หลักตอ เขาก็ได้ใช้มาแล้ว. บทว่า นเฏหิ คือร่วมกับคนฟ้อนทั้งหลาย
เพื่อเลี้ยงชีพ. บทว่า จิณฺณํ สห วากุเรหิ ความว่า การขับร้องกับ
นักขับร้องทั้งหลาย อันเขาผู้นำพวกนักขับร้องไปอยู่ ได้ประพฤติมาแล้ว
บทว่า ทณฺเฑน ยุทฺธํ ความว่า ได้ยินว่า ถึงการรบกันด้วยท่อนไม้
เขาก็เคยรบมาแล้ว. บทว่า พนฺธา กุลิกา ความว่า ได้ยินว่า แม้นก
ทั้งหลาย เขาก็เคยดักมาแล้ว. บทว่า มิตมาฬฺหเกน ความว่า นัยว่า
แม้การตวงข้าวเปลือก เขาก็เคยกระทำมาแล้ว. บทว่า. อกฺขา ฐิตา
ความว่า แม้การเล่นสกา เขาก็ได้ตั้งให้นักเลงสกาเล่นกัน. บทว่า
สญฺญโม อพฺภตีโต ความว่า การสำรวมระวังในศีล อันเขาผู้บวช
อาศัยเลี้ยงชีพ ก้าวล่วงเสียแล้ว. บทว่า อปฺปหิตํ ได้แก่ คัดไว้แล้ว
คือกระทำไม่ให้ไหลออก.
โลหิต ชื่อว่า ปุปผกะ.
ข้อนี้มีอธิบายว่า ได้ยินว่า บุรุษนี้ ตัดมือและเท้าของพวกที่มี
ความผิดต่อพระราชา อาศัยเลี้ยงชีวิต แล้วนำคนเหล่านั้นมาให้นอน
อยู่ที่ศาลา พอเวลาเที่ยงคืนจึงไปที่ศาลานั้น แล้วใส่ยาชื่อกัณฑกธูมะ
คัดเลือกที่ไหลออกให้หยุดได้. บทว่า หตฺถา ทฑฺฒา ความว่า ได้ยินว่า
ในเวลาที่เขาบวชเป็นอาชีวก แม้มือทั้งสองของเขาก็ร้อน เพราะรับ
ก้อนข้าวที่ร้อน. บทว่า ตานิสฺส กมฺมายตนานิ ได้แก่ เหตุเหล่านั้น

ที่ต่อเนื่องด้วยการกระทำของเขา. บทว่า อสฺสุ เท่ากับ อสฺโสสึ
แปลว่า ได้ฟังแล้ว. บทว่า ยถา อยํ ความว่า แม้กลุ่มขนนกกระทา
นั้นยังปรากฏอยู่ในระหว่างชฎาของบุรุษนั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงทราบ
ข้อนั้นว่า บุรุษนี้แหละฆ่านกกระทานั้น. บทว่า คาโว หตา กึ ปน
ททฺทรสฺส
ความว่า แม้โคทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ฆ่าแล้ว การที่นกกระทา
จะไม่ถูกบุรุษนี้ฆ่าจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้น บุรุษนี้ต้องฆ่านกกระทา
แน่.
ราชสีห์ถามบุรุษนั้นว่า ท่านฆ่านกกระทาบัณฑิตหรือ ? บุรุษ
ตอบว่า ถูกแล้วท่าน ราชสีห์ได้ฟังดาบสนั้นรับตามจริง ก็อยากจะ
ปล่อยดาบสนั้นไป แต่พระยาเสือโคร่งกล่าวว่า คนเลวเช่นนี้ ควรให้ตาย
เสีย แล้วก็เข้ากัดดาบสนั้นด้วยเขี้ยวให้ตาย แล้วขุดหลุมฝังไว้ในที่นั้น
เอง มาณพทั้งหลายมาไม่เห็นนกกระทาบัณฑิต ก็พากันร้องไห้คร่ำ
ครวญกลับไป.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราอย่างนี้
ดังนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า ชฎิล คือดาบสลามกในกาลนั้น ได้มา
เป็นพระเทวทัตในบัดนี้ นางเหี้ยได้มาเป็นนางกีสาโคตมี เสือโคร่ง
ได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ ราชสีห์ได้มาเป็นพระสารีบุตร อาจารย์
ทิศาปาโมกข์ได้มาเป็นพระกัสสปะ นกกระทาบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาติตติรชาดกที่ 12

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ


1. คิชฌชาดก 2. โกสัมพิยชาดก 3. มหาสวราชชาดก
4. จุลลสุวกราชชาดก 5. หริตจชาดก 6. ปทกุสลมาณวชาดก
7. โลมสกัสสปชาดก 8. จักกวากชาดก 9. หลิททราคชาดก
10. มุคคชาดก 11. ปูติมังสชาดก 12. ทัททรชาดก.
จบ นวกนิบาต